วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

การใช้ Verb to be Present Simple Tense


หลักการใช้ is am are มีคร่าวๆว่า เอกพจน์ใช้ is พหูพจน์ใช้ are ส่วน I ใช้ am
โครงสร้าง


I
am
He, She, It, A cat
is
You, We, They, Cats
are

Is Am Are ใน Present Simple Tense

  •   is am are แปลว่า เป็น อยู่ คือ  (ประธาน+ is, am, are, + นาม
I am a student. ผมเป็นนักเรียน (student = นาม)
He is in the room. เขาอยู่ในห้อง (room = นาม)
We are tigers. พวกเราคือเสือ (tiger = นาม)
  • แต่บางครั้ง is am are ไม่ต้องแปล  (ประธาน+ is, am, are, + คุณศัพท์
I am tall. ผมสูง (tall = คุณศัพท์)
She is short. หล่อน เตี้ย ( short= คุณศัพท์)
They are smart. พวกเขาเทห์ ( smart=คุณศัพท์)


ประโยคบอกเล่า

  • ประโยคบอกเล่าจะเป็นโครงสร้างธรรมดา คือ ประธาน + is, am, are + ส่วนขยาย (นาม, คุณศัพท์)
โครงสร้าง

I
am
a doctor.
He, She, It, A cat
is
tall.
You, We, They, Cats
are
from Thailand.

I am a doctor. ผมเป็นหมอ
He is smart. เขาเท่ห์
She is a girl. หล่อนเป็นผู้หญิง
It is a dog. มันเป็นหมา
A cat is black. แมวสีดำ
You are my friend. คุณเป็นเพื่อนของฉัน
We are from Thailand. พวกเรามาจากประเทศไทย
They are students. พวกเขาเป็นนักเรียน
Cats are white. แมวสีขาว


ประโยคบอกปฏิเสธ

  •  โครงสร้างปฏิเสธคล้ายประโยคบอกเล่า เพียงแค่เอาคำว่า not มาวางหลัง is, am, are
I
am
not
a doctor.
He, She, It, A cat
is
not
tall.
You, We, They, Cats
are
not
from Thailand.

I am not a doctor. ผมไม่เป็นหมอ
He is not smart. เขาไม่เท่ห์
She is not a girl. หล่อนไม่เป็นผู้หญิง
It is not a dog. มันไม่เป็นหมา
A cat is not black. แมวไม่สีดำ
You are not my friend. คุณไม่เป็นเพื่อนของฉัน
We are not from Thailand. พวกเราไม่มาจากประเทศไทย
They are not students. พวกเขาไม่เป็นนักเรียน
Cats are not white.  แมวไม่สีขาว


ประโยคคำถาม  Yes / No Question

การทำประโยคคำถามง่ายๆเอง เพียงแค่เอาคำว่า Is, Am, Are มาวางไว้หน้าประโยคแค่นั้นเองและอย่าลืมเติมเครื่องหมายคำถามท้ายประโยคด้วย นะค่ะ
ประโยคคำถามแบ่งออกเป็นสองประเด็นคือ ถามในรูปแบบบอกเล่า และถามรูปแบบปฏิเสธ
1. การถามในรูปแบบบอกเล่า
Am
I
a doctor?
Is
he, she, it, a cat
tall?
Are
you, we, they, cats
from Thailand?
  • Am I a doctor? ผมเป็นหมอใช่ไหม
    Yes, you are. /No, you aren’t. ใช่ คุณเป็นหมอ / ไม่ คุณไม่เป็นหมอ
  • Is he smart? เขาเท่ห์ใช่ไหม
    Yes, he is. / No, he isn’t.  ใช่ เขาเท่ห์ / ไม่ เขาไม่เท่ห์
  • Is she a girl? หล่อนเป็นผู้หญิงใช่ไหม
    Yes, she is. / No, she isn’t. ใช่ หล่อนเป็นผู้หญิง / ไม่หล่อนไ่ม่เป็นผู้หญิง
  • Is it a dog? มันเป็นหมาใช่ไหม
    Yes, it is. / No, it isn’t. ใช่ มันเป็นหมา / ไม่ มันไม่เป็นหมา
  • Is a cat black? แมวสีดำใช่ไหม
    Yes, a cat is. / No, a cat isn’t. ใช่ แมวสีดำ / ไม่ แมวไม่สีดำ  หรือ
    Yes, it is. / No, it isn’t. ใช่ มันสีดำ / ไม่ มันไม่สีดำ
  • Are you my friend? คุณเป็นเพื่อนของฉันใช่ไหม
    Yes, I am. / No, I’m not. ใช่ผมเป็นเพื่อนคุณ / ไม่ ผมไม่เป็นเพื่อนคุณ
  • Are we from Thailand? พวกเรามาจากประเทศไทยใช่ไหม
    Yes, we are. / No, we aren’t. ใช่ เรามาจากประเทศไทย / ไม่ เราไม่มาจากประเทศไทย
  • Are they students? พวกเขาเป็นนักเรียนใช่ไหม
    Yes, they are. / No, we aren’t. ใช่ พวกเขาเป็นนักเรียน / ไม่ พวกเขาไม่เป็นนักเรียน
2. การถามในรูปแบบปฏิเสธ
การถามในรูปปฏิเสธแบ่งออกอีกสองประเด็นคือ ในรูปแบบเต็ม และรูปแบบย่อ
  • รูปแบบเต็ม
Am
I
not
a doctor?
Is
he, she, it, a cat
not
tall?
Are
you, we, they, cats
not
from Thailand?
  • รูปแบบย่อ
Am
I
not
a doctor?
Isn’t
he, she, it, a cat

tall?
Aren’t
you, we, they, cats

from Thailand?
  • Am I not a doctor? ผมไม่เป็นหมอใช่ไหม
    Yes, you are. /No, you aren’t. ใช่ คุณเป็นหมอ / ไม่ คุณไม่เป็นหมอ
  • Isn’t he smart? เขาไม่เท่ห์ใช่ไหม
    Yes, he is. / No, he isn’t.  ใช่ เขาเท่ห์ / ไม่ เขาไม่เท่ห์
  • Is she not a girl? หล่อนไม่เป็นผู้หญิงใช่ไหม
    Yes, she is. / No, she isn’t. ใช่ หล่อนเป็นผู้หญิง / ไม่หล่อนไ่ม่เป็นผู้หญิง
  • Is it not a dog? มันไม่เป็นหมาใช่ไหม
    Yes, it is. / No, it isn’t. ใช่ มันเป็นหมา / ไม่ มันไม่เป็นหมา
  • Isn’t a cat black? แมวไม่สีดำใช่ไหม
    Yes, a cat is. / No, a cat isn’t. ใช่ แมวสีดำ / ไม่ แมวไม่สีดำ  หรือ
    Yes, it is. / No, it isn’t. ใช่ มันสีดำ / ไม่ มันไม่สีดำ
*** ไม่ว่าคำถามจะเป็นอย่างไร ถ้าใช่ก็บอกว่าใช่ ถ้าไม่ใช่ก็บอกว่าไม่ เช่น แมวตัวนี้สีขาว แล้วมีคนถามว่า
Is a cat black? แมวสีดำใช่ไหม
No, it isn’t. ไม่ มันไม่ใช่สีดำ

Isn’t a cat black? แมวไม่ใช่สีดำใช่ไหม
No, it isn’t. ไม่ มันไม่ใช่สีดำ
ห้ามตอบ yes นะครับ ถ้าตอบ yes จะหมายความว่ามันมีสีดำ

งั้นเรามาลองดูแบบที่เป็น VDO กันนะค่ะอาจจะทำให้เราเข้าใจมากขึ้นก็ได้คะ คล๊กที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลยค๊
http://www.youtube.com/watch?v=mGl3vZK9ZbA

วันศุกร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2557

must & have to

การเลือกใช้ ระหว่าง must กับ have to

การใช้ must

1.must เป็นการสั่งความจำเป็นมาจากบุคคลที่กำลังพูดหรือกำลังฟัง เช่น
       I must go home now. It's going to rain soon.

2.must เมื่อพูดถึงสิ่งที่เราแน่ใจ เช่น
       The boy keeps crying. He must be really sick.

3.Must สามารถใช้บอกความจำเป็นสำหรับเหตุการณ์ในปัจจุบันและอนาคต แต่จะไม่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และจากที่ must ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย ทำให้สามารถใช้ Must มาขึ้นหน้าประโยคเพื่อตั้งเป็นประโยคคำถามได้เลย เช่น
        I must finish this work before I leave.
        Must you work so hard?
        Must she go there before midnight?

4. must จะแปลว่าต้องทำเป็นหน้าที่หรือข้อบังคับ เช่น
       The soldiers must protect the country

5.must จะใช้กับปัจจุบันกาลอย่างเดียวเท่านั้น
       ถ้าเป็นอดีตจะใช้ had to
       และถ้าเป็นอนาคตจะใช้ will, shall + have to


6.เมื่อ จะใช้ must ในรูปประโยคปฏิเสธ ก็สามารถเติม not เข้าไปได้เลย ในกรณีนี้จะมีความหมายว่า ห้ามกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเด็ดขาด หรือทำแล้วอาจเกิดผลร้ายตามมา

mustn’t แปลว่า “ต้องไม่ “

7. mustn't ใช้บอกบุคคลไม่ให้ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้
        You mustn't tell anyone. มีความหมายว่า (Don't tell anyone.)

8.กรณีจะกล่าวเรื่องราวในอดีต เรามักไม่ใช้ must แต่จะไช้ had to แทน

9. (modals) + have + V.3 สามารถใช้หมายถึงเหตุการณ์ที่เกิดในอดีต (ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้แล้ว บางที่จะเป็นการสมมติ) ที่สามารถใช้ร่วมกับ Modal verbs ได้หลายตัว


การใช้have to


1.have to พูดถึงความจำเป็นที่มาจากภายนอก บางทีอาจจะเพราะว่ากฎหมาย กฏระเบียบหรือเป็นข้อตกลงเช่น
        You have to take off your shoes before going inside the temple.

2. have to ใช้กับกฏเกณ์หน้าที่และใช้กับพวกข้อบังคับ ที่ทำให้เราจำเป็นต้องทำ ตามกฎเกณ์ของสังคม เช่น
       “ when you go to the theater you have to off your mobile เวลาคุณเข้าไปดูหนังในโรงภายนตร์คุณต้องปิดมือถือ (บางครั้งคุณอาจจะลืมปิดหรือตั้งใจไมปิด มือถือ ซึ่งก็ไม่ได้ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย แต่ในทางกฎ เกณฑ์ทางสังคึมนั้นคุณต้องปิด ถือเป็นมารยาททางสังคม (มีสังคมเป็นตัวบังคับให้คุณต้องทำ)

3. have to ถ้าทำเป็นปฏิเสธหรือคำถามต้องใช้ Verb to do เข้าช่วย
         - You do not have to buy a new bicycle.
         - Do you have to buy a new car?

Asking for help

การขอความช่วยเหลือ ภาษาอังกฤษ Asking for help
 
  
 การขอความช่วยเหลือมีหลักๆ สองวิธีหลักๆก็คือ
 
           1.การขอความช่วยเหลือโดยใช้รูปประโยคที่สุภาพ
           2.การขอความช่วยเหลือโดยการใช้รูปประโยคแบบเป็นกันเอง
1. การขอความช่วยเหลือโดยใช้รูปแบบประโยคที่สุภาพ (Asking for help by using polite sentences)

       รูปแบบประโยค สำนวนการขอความช่วยเหลือที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมีดังต่อไปนี้
       
       1.1 Could you please (do something) for (som
eone) ­?
                กรุณา …….. ให้ ……..ได้ไหม ­

ตัวอย่าง
      
        a) Could you please give me a glass of water ­?
            คุณจะกรุณาให้น้ำฉันหนึ่งแก้วได้ไหม ­?
  
        b) Could you please give a lift for Joe ­?
            คุณจะกรุณาพาโจขึ้นรถไปกับคุณได้ไหม ­

** ประโยคนี้มีคำกิริยาที่เป็นภาษาแสลง คือ “give a lift” หมายถึงพาคนขึ้นรถไปด้วยและไปส่งถึงที่

       1.2 Would you please …………………………...?­
            คุณจะกรุณา……ได้ไหม ­?

** ประโยคนี้มีการใช้คล้ายกับการใช้ could you please และมีความหมายเดียวกันคือ การขอความช่วยเหลือ
** หลัง Please ต้องเป็นกริยาช่องที่ 1 หรือ Infinitive without ‘to’ เท่านั้น

   
       1.3 Would you mind (V.ing หรือ Gerund phrase) ………………?­
           คุณรังเกียจไหมที่จะ……….?

การใช้ would you mind ต้องตามด้วย V.ing หรือ Gerund phrase เสมอและการตอบจะตอบกลับกับรูปประโยคคำถามปกติ
การตอบรับจะตอบเป็นปฎิเสธ คือ “No, I don’t mind closing the window for you.”
ไม่รังเกียจเลยที่จะปิดหน้าต่างให้คุณ หรือถ้าตอบปฎิเสธจะ ใช้ yes เช่น “Yes, I do mind closing the windows for you. It is very warm her, sorry.” การ ตอบปฎิเสธคือ การบอกผู้ถามว่า ฉันไม่ปิดหน้าต่างให้คุณและควรให้เหตุผล ด้วย เช่น เพราะอากาศร้อน เป็นต้น
      
      1.4 Could you possible ……………………………­ 
            
ประโยคคำถามนี้เป็นการถามอย่างสุภาพเช่นกัน
 
 2. การขอความช่วยเหลือโดยใช้รูปแบบที่เป็นกันเอง Can you ……………­?
การใช้ can you ในการขอความช่วยเหลือเป็นการใช้ประโยค อย่างเป็นกันเองกับคนใกล้ชิด เช่น เพื่อนควรใช้ can you.

ตัวอย่าง

 
      “Hi Joe! Can you help me carrying these luggages? ­”
       โจช่วยผมขนกระเป๋าหน่อยสิ.  


3. การตอบ การตอบการขอความช่วยเหลือมีหลายรูปแบบ ในที่นี้ขอยกประโยคหลักๆดังนี้

      การตอบรับ         1. Yes, I can help you.
                             2. Okay.
                             3. Certainly, I'd be glad to help you.
      การตอบปฎิเสธ    1. I am sorry, I'm quite busy now.
                             2. I am sorry. I have to go back now.
                             3. No, I cannot help you.

นอกจากนี้ การขอความช่วยเหลือผู้ขอควรคำนึงถึงกาละเทศะ ด้วย การขอความช่วยเหลือโดยทั่วไปควรมีการเกริ่นนำและขึ้นอยู่กับกาละ เทศะ เช่น เมื่อเราไปบ้านเพื่อนที่สนิทกัน เรารู้ว่าเราสามารถขอน้ำดื่มได้ อย่างสนิทใจ เมื่อไปประชุม บางครั้งหิวน้ำอาจจะขอน้ำได้อย่างสุภาพเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าคอแห้ง เช่น “Excuse me. May I have a glass of water ­ I have a dry throat.” การ ถามแบบนี้ส่วนมากจะได้รับการตอบรับ

Present Continuous Tense

หลักการใช้ Present Continuous Tense (ปัจจุบันกาลต่อเนื่อง) ในภาษาอังกฤษ

รูปแบบของ Present Continuous Tense

Subject + is/am/are + V.-ing 

โครงสร้าง

 

I
am
eating
He, She, It, A cat
is
eating
You, We, They, Cats
are
eating

 

หลักการใช้

1. ใช้กล่าวเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะที่พูดอยู่ หรือในระหว่างอาทิตย์นั้น เดือนนั้นก็ได้ ซอาจจะมีคำเหล่านี้อยู่ด้วยก็ได้
     now / right now  ตอนนี้
     at the moment  ตอนนี้ 

หลักการแปล ให้แปลรวบ is am are กับกริยาที่เติม ing ว่า ” กำลัง….”
  • I am studying  hard, John. จอห์น ฉันกำลังเรียนหนักนะ (ไม่ใช่ขณะนี้ แต่เป็นพักนี้)
  • Most students are using mobile phones. นักเรียนส่วนใหญ่กำลัง(นิยม)ใช้โทรศัพท์มือถือ (ไม่ใช่ขณะนี้ แต่เป็นปัจจุบันนี้)
  • He is driving a car. เขากำลังขับรถ
  • She‘s eating an apple. หล่อนกำลังกินแอปเปิ้ล
  • It is raining at the moment. มันกำลังฝนตกขณะนี้ (ฝนกำลังตก)
  • A cat is sleeping in the room. แมวกำลังนอนหลับในห้อง
  • You are sitting on my book. คุณกำลังนั่งบนหนังสือของฉัน
  • We are running right now. พวกเรากำลังวิ่งขณะนี้
  • They are going to school. พวกเขากำลังไปโรงเรียน

2. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต (แน่ๆ) และมักจะมีคำที่บ่งบอกอนาคตกำกับอยู่ด้วย
     this evening เย็น
     tonight คืนนี้
     tomorrow พรุ่งนี้
     this weekend สุดสัปดาห์นี้
     next  week สัปดาห์หน้า
     next month เดือนหน้า
     next year ปีหน้า
     และอื่นๆ

หลักการแปล ให้แปลรวบ is am are กับกริยาที่เติม ing ว่า ” กำลังจะ….” หรือจะแปลว่า “ จะ” ก็ได้
  • I’m studying English this weekend. ผมกำFriday. เขากำลังจะมาบ้านผมเพื่อ(กิน)อาหารเที่ยงในวันศุกร์นี้
  • We‘re moving to New York next year.
  • ลังจะเรียนภาษาอังกฤษสุดสัปดาห์นี้ (เรียนแน่เพราะจ่ายเงินแล้ว)
  • She is going to the market tomorrow. หล่อนกำลังจะไปตลาดวันพรุ่งนี้ (ของหมด ต้องไปซื้อ)
  • He‘s coming to my house for lunch this
  • พวกเรากำลังจะย้ายไปนิวยอร์คปีหน้า
  • They are seeing the doctor next month. พวกเขากำลังจะพบหมอเดือนหน้า (ไม่ได้แปลว่าเห็นนะคะ) 

 

Time Line เส้นเวลา

 timeline present continouse tense









หลังจากที่ได้อ่านหลักการใช้แล้ว ทีนี้มาดูไทม์ไลน์กันว่าจะเป็นจริงอย่างที่บอกไว้หรือไหม่ ทีบอกว่า tense นี้ใช้บอกกล่าวเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น

  • สีดำคือ อดีตที่หมองหม่น
  • สีส้มคือปัจจุบันที่สดใส
  • สีชมพู คือ อนาคตที่เรืองรองผ่องอำไพ
  • ลูกศรสีขาวไซร้คือเหตุการณ์ (ณ ตอนนี้)
  • เส้นประหมายถึงระยะเวลาสั้นๆ (สำหรับ Continuous Tense)
  • เส้นประสีขาวคือช่วงระยะเวลาที่เหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว
  • เส้นประสีเหลืองคือช่วงระยะเวลาที่เหตุการณ์ที่ยังดำเนินต่อไป

ให้สังเกตุที่ลูกศรนะคะ มันคือเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนั้น มีตัวเดียวนะคะ นั่นหมายความว่าเป็นเหตุการที่เรากำลังพบเจออยู่ ส่วนเส้นประสีเหลืองนั้นหมายถึงระยะเวลาของเหตุการณ์

A girl is running now. ขณะนี้เด็กคนหนึ่งกำลังวิ่ง

ถ้าดูจากเส้นเวลาแล้วสามารถเดาได้ว่า วิ่งมาพักหนึ่งแล้ว (ประสีขาว) ตอนนี้กำลังวิ่งอยู่ (ลูกศรสีขาว) และน่าจะวิ่งต่ออีกสักพักคงอยุดแน่นอน (ประสีเหลือง)

ระยะเวลาของเหตุการณ์ใน Present Continuous  Tense นานแค่ไหน ตรงนี้ขอให้นักเรียนทำความเข้าใจว่ามันเป็น ระยะเวลาสั้นๆของเหตุการณ์ อาจจะสักสิบนาที ยี่สิบนาทีหรือสามสิบนาที เพราะถ้าจะพูดถึงเหตุการที่เกิดขึ้นนานๆ ตั้งแต่เป็นชั่วโมงขึ้นไปเนี่ย จะใช้   perfect กับ   perfect continuous แทน เพราะสอง tense ดังกล่าวจะมีการระบุเวลาด้วยว่ากี่ชั่วโมง กี่วัน กี่เดือน หรือกี่ปีเป็นต้น

Continuous Tense ไม่ว่าจะเป็น Past Continuous Tense (อดีต) Present Continuous Tense (ปัจจุบัน )หรือ Future Continuous Tense (อนาคต) ก็ดี หมายถึงเหตการณ์ที่เกิดไม่นานเท่าไหร่ ขอให้จำตรงนี้เอาไว้นะครับ เผื่อเจอ Continuous Tense อีกสองตัวที่เหลือจะได้เข้าใจง่ายขึ้น

สรุปว่าถ้านักเรียนต้องการสื่อเรื่องราวอะไรสักอย่าง ที่เป็น “เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ณ ตอนนั้น” ให้ใช้โครงสร้าง

ประธาน + is am are + กริยาช่องที่ 1 เติม ing (สู้ๆ)

 

 

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

อาหารประจําชาติอาเซียน 10 ประเทศ

ประเทศไทย (Thailand) : ต้มยำกุ้ง (Tom Yam Goong)



พม่า (Myanmar) : หล่าเพ็ด (Lahpet)





สิงคโปร์ (Singapore) : ลักสา (Laksa) เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำ (ใส่กะทิ)


ฟิลิปปินส์ (Philippines) : อโดโบ้ (Adobo)


เวียดนาม (Vietnam) : Nem หรือ เปาะเปี๊ยะเวียดนาม


มาเลเซีย (Malaysia) : นาซิ เลอมัก (Nasi Lemak)


ลาว (Loas) : ซุบไก่ (Chicken Soup)


อินโดนีเซีย (Indonesia) : กาโด กาโด (Gado Gado)


กัมพูชา (Cambodia) : อาม็อก (Amok)


บรูไน ดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) : อัมบูยัต (Ambuyat)


ที่มา : Aseantalk.com